วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2552
วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552
ทฤษฎีกำเนิดของระบบสุริยะ
1.ทฤษฎีของคานท์และลาพลาส

ทฤษฎีของคานท์และลาพลาส โดยนักดาราศาสตร์ชื่อ เอมมานูเอล คานท์ ชาวเยอรมัน และปีแอร์ ลาพลาส ชาวฝรั่งเศส เชื่อว่า "ระบบสุริยะเกิดจากกลุ่มแก๊สที่ร้อนจัดขนาดใหญ่ และหมุนรอบตัวเองจนเกิดแรงเหวี่ยงทำให้เกิดวงแหวนเป็นชั้นๆ ต่อมากลุ่มแก๊สบริเวณศูนย์กลางของวงแหวนรวมตัวกันกลายป็นดวงอาทิตย์ ส่วนวงแหวนกลายเป็นดาวเคราะห์และบริวาร"


จากทฤษฎีต่างๆ ยังไม่สรุปได้แน่นอนว่าโลกเกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิทยาศาสตร์ยังต้องศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมต่อไปเรื่อยๆ ข้อมูลที่ค้นพบใหม่อาจทำให้ทฤษฎีต้องเปลี่ยนแปลงไป และอาจมีทฤษฎีใหม่มาช่วยอธิบายการกำเนิดโลกได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์

รูปแสดงระบบสุริยะ
ที่มา : http://www.myfirstbrain.com/
ส่วนประกอบของโลก

> เปลือกโลกส่วนบน เป็นส่วนนอกสุดประกอบด้วยชั้นดินและหินไซอัล (sial) ที่เป็นหินแกรนิต ส่วนใหญ่ประกอบด้วยซิลิกา (silica) และอลูมินา (alumina)
> เปลือกโลกส่วนล่าง เป็นส่วนที่เป็นมหาสมุทร ประกอบด้วยหินไซมา (sima) ที่เป็นหินบะซอลต์ ประกอบด้วยซิลิกา (silica) และแมกนีเซียม (magnesium)
2.แมนเทิล (mantle) เป็นชั้นของโลกที่อยู่ลึกจากชั้นเปลือกโลก ประกอบด้วยหินและแร่หลายชนิด เช่น หินอัลตราเบสิก หินเพริโดไทต์ ซึ่งเป็นหินอัคนี และหินหลอมเหลวซึ่งเรียกว่า "หินหนืด" มีอุณหภูมิประมาณ 2,000 องศาเซลเซียส มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร
3.แก่นโลก (core) อยู่ชั้นในสุดหรือเป็นแก่นกลางของโลก แบ่งออกเป็น 2 ชั้น คือ ชั้นแก่นโลกนอก เป็นชั้นของเหลวที่ร้อนจัด และแก่นโลกในเป็นชั้นของแข็ง ประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิเกิล แก่นโลกมีความหนามากประมาณ 3,440 กิโลเมตร มีอุณหภูมิสูงประมาณ 5,000 องศาเซลเซียส
ที่มา : http://www.myfirstbrain.com
การเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก

2.แผ่นแอฟริกา (African Plate) เป็นแผ่นเปลือกโลกที่รองรับทวีปแอฟริกาและพื้นน้ำรอบทวีปนี้
3.แผ่นแอนตาร์กติก (Antarctic Plate) เป็นแผ่นเปลือกโลกที่รองรับทวีปแอนตาร์กติกและพื้นน้ำโดยรอบ
4.แผ่นออสเตรเลีย (Australian Plate) เป็นแผ่นเปลือกโลกที่รองรับทวีปออสเตรเลีย อินเดีย และพื้นน้ำระหว่างทวีปออสเตรเลีย
5.แผ่นแปซิฟิก (Pacific Plate) เป็นแผ่นเปลือกโลกที่รองรับมหาสมุทรแปซิฟิก
6.แผ่นอเมริกา (American Plate) เป็นแผ่นเปลือกโลกที่รองรับทวีปอเมริกาเหนือและใต้พื้นน้ำครึ่งซีกตะวันตกของมหาสมุทรแอตแลนติก
> การเปลี่ยนแปลงเคลื่อนที่แบบรวดเร็วฉับพลัน (abrupt movements) มักเกี่ยวข้องกับแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นอย่างรุนแรง จนทำให้เปลือกโลกจมตัวลงเป็นบริเวณกว้าง หรือเอียงไปข้างใดข้างหนึ่งหรือเคลือนที่ออกจากกันในแนวราบทำให้เกิดลุ่มน้ำขัง (swamps) หรือทะเลสาป เช่น ที่ราบลุ่มในภาคเหนือของประเทศไทย หรือที่ราบลุ่มตอนกลางที่เรียกว่าที่ราบลุ่มเจ้าพระยาของไทย
> การเปลี่ยนแปลงหรือเคลื่อนที่อย่างช้าๆ (slow movemants) แผ่นเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่อย่างช้าๆ เช่น แผ่นเปลือกโลกแปซิฟิคเคลื่อนที่ไปทางทิศเหนือ 5 เซนติเมตร/ปี เฉลี่ยทั้งโลก 5-8 เซนติเมตร/ปี
1)การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกแยกออกจากกัน
2)การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกเข้าชนกันสาเหตุของการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก
แผ่นดินไหว
1.เกิดภูเขา เนื่องจากการชนกันทำให้เกิดแรงดัน แผ่นเปลือกโลกบางส่วนถูกแรงดันดันจนโค้งขึ้น กลายเป็นภูเขา เช่น การชนกันของแผ่นยูเรเซียกับแผ่นออสเตรเลีย แผ่นยูเรเซียถูกดันให้โค้งตัวขึ้นเป็นเทือกเขาหิมาลัยที่อยู่ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย

ภาพแสดงการชนกันของแผ่นยูเรเซียกับแผ่นออสเตรเลีย แผ่นยูเรเซีย
2.แผ่นเปลือกโลกบางส่วนหายไป เมื่อมีการชนกันของแผ่นเปลือกโลก 2 แผ่น แผ่นที่ 1 จะซ้อนอยู่บนด้านบน ส่วนอีกแผ่นหนึ่งจะมุดซ้อนอยู่ด้านล่าง ดังเช่น การชนกันของแผ่นยูเรเซียแผ่นออสเตรเลีย พบว่า แผ่นยูเรเซียที่ซ้อนอยู่ด้านบนจะดันให้โค้งตัวขึ้น ขณะเดียวกันแผ่นออสเตรเลียจะมุดซ้อนอยู่ด้านล่าง จึงทำให้เปลือกโลกบางส่วนของแผ่นออสเตรเลียหายไป เนื่องจากไปมุดอยู่ใต้แผ่นยูเรเซียลงไปถึงชั้นแมนเทิล และได้รับความร้อนจากแก่นโลกจึงหลอมเหลวเป็นหินหนืดอยู่ใต้เปลือกโลก
3.การเกิดแผ่นดินไหว เมื่อแผ่นเปลือกโลกเกิดการเคลื่อนที่แยกออกจากกัน เคลื่อนที่เข้าชนกันหรือเคลื่อนที่สวนทางกัน บริเวณขอบของแผ่นเปลือกโลกจึงเกิดการสั่นสะเทือน ทำให้เกิดแผ่นดินไหว
แผ่นดินไหว เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของแผ่นเปลือกโลกอย่างฉับพลัน อันเนื่องมาจากการขยายตัวและหดตัวของแผ่นเปลือกโลกที่แตกต่างกัน เปลือกโลกส่วนล่างจะขยายตัวได้มากกว่าเปลือกโลกส่วนบน เนื่องจากมีอุณหภูมิสูงกว่า และอุณหภูมิเปลือกโลกส่วนบนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ซึ่งมีผลต่อรอบต่อของแผ่นเปลือกโลก โดยบางแห่งเคลื่อนที่ออกจากกัน บางแห่งเคลื่อนที่เข้าหากัน การชนกันหรือการแยกกันของรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน เช่น การทรุดตัว การเกิดการกระแทก ฉีกขาด และเกิดการเคลื่อนที่ตามแนวระดับไปยังบริเวณรอยต่อรอบๆ ในรูปของคลื่นที่เรียกว่า เกิดแผ่นดินไหว
บริเวณที่เกิดแผ่นดินไหว บริเวณที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวได้มาก ได้แก่ บริเวณรอยต่อระหว่างเปลือกโลก เนื่องจากแผ่นเปลือกโลกมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา บริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกจะมีโอกาสกระทบกระแทกได้ง่ายกว่าบริเวณอื่นๆ
เครื่องมือตรวจสอบแผ่นดินไหว เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบแผ่นดินไหว เรียกว่า “ไซโมกราฟ (seismograph)” หน่วยที่ใช้วัดการสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว คือ มาตราริกเตอร์และมาตราเมอแคลลี ในประเทศไทยใช้ มาตราริกเตอร์ ซึ่งในประเทศไทยเรามีสถานีตรวจแผ่นดินไหวทั้งหมด 7 แห่ง คือ จังหวัดเชียงใหม่ ตาก นครราชสีมา นครสวรรค์ กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สงขลา
ผลกระทบจากการเกิดแผ่นกินไหว ถ้าเปลือกโลกเกิดการทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว จะมีผลต่ออาคารบ้านเรือน สิ่งก่อสร้างเกิดพังทลาย เกิดความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก เช่น การเกิดคลื่นสึนามิ ที่ร้ายแรงในปีที่ผ่านมา หรือดังที่เราได้ทราบจากข่าวต่างประเทศอยู่เสมอ
ที่มา : http://www.myfirstbrian.com/
ภูเขาไฟ


บริเวณที่เกิดภูเขาไฟ ภูเขาไฟมีโอกาสเกิดขึ้นได้มากในบริเวณแนวรอยต่อระหว่างแผ่นเปลือกโลก โดยเฉพาะบริเวณที่มีการมุดตัวของแผ่นเปลือกโลกลงไปใต้พื้นมหาสมุทร เนื่องจากถูกหลอมเหลวด้วยความร้อนจากแก่นโลกให้เป็นหินหนืด ทำให้หินหนืดแทรกตัวขึ้นมาได้ง่ายกว่าบริเวณอื่นบริเวณที่ห่างจากรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกก็มีโอกาสเกิดภูเขาไฟได้ โดยการดันของหินหนืดที่มีอุณหภูมิและความดันสูงออกมาตามรอยแยกของผิวโลก
การระเบิดของภูเขาไฟในประเทศไทย นักธรณีวิทยาพบว่า เมื่อประมาณล้านปีมาแล้วประเทศไทยเคยภูเขาไฟระเบิดเช่นกันที่จังหวัดลำปางและจังหวัดบุรีรัมย์ เคยมีหินหนืดดันแทรกตัวขึ้นมาตามรอยแยกของชั้นหิน แต่การระเบิดไม่รุนแรง

ภายหลังภูเขาไฟระเบิด



การกร่อนของเปลือกโลก
1.การกร่อนของเปลือกโลกเนื่องจากกระแสน้ำ การกัดเซาะของกระแสน้ำเกิดบริเวณริมฝั่งแม่น้ำ ลำคลอง ลำธาร เกิดการเปลี่ยนแปลงไปอย่างช้าๆ ซึ่งมีผลทำให้เปลือกโลกเกิดการเปลี่ยนแปลง การกัดกร่อน การพัดพา และการทับถมของตะกอน เนื่องจากกระแสน้ำสรุปได้ดังนี้


3.การกัดกร่อนเปลือกโลกเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ทำให้เกิดการกัดกร่อนของเปลือกโลกได้ เนื่องจากอุณหภูมิของอากาศทำให้เปลือกโลกเกิดการขยายตัวและหดตัว ถ้าการขยายตัวของหินชั้นในกับหินชั้นนอกไม่เท่ากันอาจทำให้หินเกิดการแตกร้าวได้ และในบางครั้งน้ำในโพรงก้อนหินกลายเป็นน้ำแข็ง อาจทำให้เกิดการขยายตัวดันให้ก้อนหินแตกเป็นชิ้นเล็กๆ ได้
4.การกัดกร่อนเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก ในธรรมชาติแรงโน้มถ่วงของโลกจะพยายามดึงดูดสิ่งต่างๆ ให้ตกลงสู่พื้นผิวโลก และดึงดูดวัตถุให้เกิดการเคลื่อนที่จากที่สูงลงสู่ที่ต่ำกว่า เรียกว่า “ธารน้ำแข็ง” ขณะเคลื่อนที่ก้อนน้ำแข็งที่มีขนาดใหญ่และมีมวลมากจะกระแทกและขัดสีกับก้อนหินในลำธาร ทำให้เปลือกโลกเกิดการกัดกร่อนได้
5.การกัดกร่อนเนื่องจากกระแสลม เช่น บริเวณที่ราบสูง ทะเลทราย ภูเขาสูงซึ่งได้รับอิทธิพลจากกระแสลมเป็นประจำ กระแสลมจะทำให้เปลือกโลกเกิดการกัดกร่อนได้เช่นกัน “กระแสลมนั้นทำให้เปลือกโลกกร่อนได้ และถ้ากระแสลมแรงหรือมีความเร็วสูงจะทำให้เกิดการกร่อนได้มาก แต่ถ้าความแรงของกระแสลมลดลงหรือมีสิ่งกีดขวางความเร็วของกระแสลมจะทำให้เปลือกโลกกร่อนได้น้อยกว่า” การกร่อนเนื่องจากกระแสลมจะเกิดกับผิวดินที่แห้งแล้งขาดพืชปกคลุม

1)การทับถมของตะกอนรูปพัด เกิดจากกระแสน้ำไหลจากภูเขาตกลงสู่ที่ราบต่ำกว่า มีร่องน้ำ ขนาดใหญ่กว่าร่องน้ำเดิมมาก ทำให้เกิดการทับถมของตะกอนรูปพัด
2)การทับถมของตะกอนรูปดินดอนสามเหลี่ยม เกิดจากการทับถมของตะกอนที่บริเวณปากแม่น้ำ เป็นรูปสามเหลี่ยม เนื่องจากกระแสน้ำบริเวณปากแม่น้ำเคลื่อนที่ช้าลง จึงเกิดการทับถมของตะกอนอยู่ตลอดเวลา

ทรัพยากรหิน

>หินแกรนิต (Granite)
>หินบะซอลต์ (Basalt)
>หินออบซิเดียน (Obsidian)
>หินสคอเรีย (Scoria)
>หินพัมมิซ (Pumice)
>หินไรโอไลต์ (Rhyolite)
>หินแอนดีไซต์ (Andesite)
#สมบัติของหิน
#ปริมาณของหินที่มีอยู่ในท้องถิ่น
#ความสะดวกในการทำให้หินมีขนาดและรูปร่างตามที่ต้องการ
#การใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด
วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
ระบบกับการเปลี่ยนแปลง
สิ่งแวดล้อม (environment) หมายถึง สิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกขอบเขตที่ต้องการศึกษา ตัวอย่างการกำหนดองค์ประกอบของระบบ เช่น การศึกษาการละลายของน้ำตาลทรายในน้ำ โดยสารละลายน้ำตาลทรายจะเป็นระบบ ส่วนบีกเกอร์ ภาชนะ และแท่งแก้วจัดเป็นสิ่งแวดล้อม
ภาวะของระบบ หมายถึง สมบัติต่าง ๆ ของสาร และปัจจัยที่มีผลต่อสมบัติของระบบ เช่น ความดันบรรยากาศ อุณหภูมิ ปริมาณของสาร เมื่อระบบเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้วจะมีการถ่ายเทพลังงานระหว่างระบบกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้
ก. ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงประเภทคายความร้อน คือ ระบบที่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว ระบบจะถ่ายเทความร้อนให้แก่สิ่งแวดล้อม ทำให้สิ่งแวดล้อมร้อนขึ้น
ข. ระบบที่มีการเปลี่ยนแปลงประเภทดูดความร้อน คือ ระบบที่เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงแล้ว ระบบจะดูดความร้อนจะสิ่งแวดล้อมทำให้สิ่งแวดล้อมนั้นเย็นลง
ประเภทของระบบ
การเปลี่ยนแปลงพลังงานระหว่างระบบและสิ่งแวดล้อม จะใช้การถ่ายเทมวลของสารเป็นเกณฑ์ในการแบ่งประเภทของระบบ ดังนี้
- ระบบเปิด (open system) หมายถึง ระบบที่มีการถ่ายเทมวลให้กับสิ่งแวดล้อม
- ระบบปิด (close system) หมายถึง ระบบที่ไม่มีการถ่ายเทมวลให้กับสิ่งแวดล้อม
- ระบบโดดเดี่ยว ( lone system) หมายถึง ระบบที่ไม่มีการถ่ายเทมวลและพลังงานให้กับสิ่งแวดล้อม
ที่มา : http://www.electron.rmutphysics.com
วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ทำไมหน้าหนาวมืดเร็ว หน้าร้อนมืดช้า

แกนโลกจะเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์ในขณะที่หมุนรอบดวงอาทิตย์ โดยในรอบ 1 ปี จะมีการแบ่งโซนการหันเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์เป็น 12 โซน ก็คือ 12 เดือน โดยเริ่มจากเดือน มกราคม จะหันเอียงโซนไต้ของโลกเข้าหาดวงอาทิตย์ บรรยากาศในโซนนั้น เช่นทวิป อันทากติก ก็จะอุ่น คือหน้าร้อน จะเห็นพระอาทิตย์เกือบ 24 ชั่วโมง ส่วนทางเหนือของโลก ที่เรียวว่าขั้วโลกเหนือ จะไม่เห็นพระอาทิตย์เลย เพราะความกลมของโลกระดับเส้นศูนย์สูตร บดบัง แต่ยังพอเห็นความสว่างเพีงแค่รำไร แต่ไม่เห็นดวงอาทิตย์ เช่นเดียวกับประเทศที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตร ก็จะเห็นพระอาทิตย์น้อยลง ขึ้นอยู่ว่าไกลใกล้กับส้นศูนย์สูตรเท่าใด เช่น ประเทศในแถบเอเซีย เช่นประเทศไทย จะเริ่มเห็นพระอาทิตย์ประมาณ 6 โมงครึ่ง พระอาทิตย์ตก 6 โมง ประเทศทางแถบยุโรป พระอาทิตย์จะขึ้น ก็ 10 โมงเช้า พอ 3 โมงเย็นก็หายไปแล้วเดือนกุมภาพันธ์ พระอาทิตย์ก็จะมาอยู่แถวๆ ออสเตรเลีย มีนาคม ก็จะมาอยู่เหนือประเทศฟิลิปินส์ เมษายน ก็จะมาอยู่เหนือประเทศไทย พฤษภาคม ก็จะไปอยู่เหนืออินเดีย มิถุนายน ก็จะอยู่เหนือเมืองจีน ทางโน้นก็ร้อนตับแตก ตี 3 พระอาทิตย์ขึ้นแล้ว กว่าจะลับฟ้าก็ 4 ทุ่ม ส่วนที่ขั้วโลกเหนือ ก็จะเห็นพระอาทิตย์ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เหมือนขั้วโลกใต้ เพราะแกนโลกเอียง 11 เปอร์เซ็นต์ แล้วแนวพระอาทิตย์ก็จะไล้ลงใต้อีก ผ่านประเทศไทยอีกครั้งก็เดือนสิงหาคม แต่ตอนนั้นมันไม่ร้อนบ้าเลือดอย่างเดือนเมษาเพราะเป็นหน้าฝน ยังพอมีน้ำฝนและเมฆบดบังแสงอาทิตย์ได้บ้าง ลองเอาส้มหรือลูกบอลล์ มาทดลองกับหลอดไปดู เอาแกนใต้หันเข้าหา และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นแกนเหนือ ในขณะที่หมุนลูกทรงกลมนี้ไปเรื่อยๆ จะได้คำตอบว่าทำไมหน้าหนาว กลางคืนสั้นกว่ากลางวันและหน้าร้อนกลางวันยาวกว่ากลางคืน
วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2552
พิธีถวายราชสดุดีสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ชวนดู ฝนดาวตก โอไรโอนิดส์ Orionid Meteors shower

วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552
วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2552
วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552
การเลือตั้งคณะกรรมการนักเรียน
วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552
การประชุมผู้ปกครองนักเรียน ชั้น ม.2/8
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552
ธาตุ
ธาตุ (Element) เป็นสารบริสุทธิ์ที่ประกอบด้วยอนุภาคที่เล็กที่สุดเรียกว่า อะตอม(Atom) และเป็นอะตอมชนิดเดียวกันล้วน ๆ ธาตุยังเป็นโลหะ อโลหะ และกึ่งโลหะ และไม่สามารถแยกออกเป็นสารอื่นได้อีกโดยวิธีทางเคมี
ธาตุเป็นองค์ประกอบหลักของสารทุกชนิด ธาตุเกือบทุกชนิดนักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาคันพบแล้ว ปัจจุบันมีการค้นพบธาตุแล้วไม่ต่ำกว่า 119 ธาตุ เป็นธาตุที่อยู่ในธรรมชาติ 89 ธาตุ ที่เหลือเป็นธาตุที่สังเคราะห์ขึ้น ธาตุบางธาตุอาจค้นพบแล้ว แต่ไม่มีการเปิดเผยเพราะเป็นประโยชน์ทางธุรกิจ
ปรอท
กำมะถัน
ดีบุก
ธาตุแบ่งออกได้เป็น 3 สถานะ
1. ของแข็ง เช่น ตะกั่ว (Pb), เงิน (Ag) และดีบุก (Sn) เป็นต้น
2. ของเหลว ได้แก่ โบรมีน (Br2) และปรอท (Hg) เป็นต้น
3. ก๊าซ เช่น ไนโตรเจน (N2), ฮีเลียม (He) และออกซิเจน (O2) เป็นต้น
ธาตุส่วนใหญ่มีสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง นอกจากนี้ นักเรียนทราบหรืไม่ว่า ธาตุยังแบ่งออกตามสมบัติใดได้
ที่มา : http://school.obec.go.th/sawatee/elearning/WebApplications2/element.aspx
สมบัติของธาตุ
1.มีสถานะเป็นของแข็งที่อุณหภูมิปกติ (ยกเว้นปรอท เป็นของเหลว)
สมบัติของอโลหะ

1.มีทั้ง 3 สถานะ คือของแข็งเช่น คาร์บอน กำมะถันของเหลว เช่น โบรมีนก๊าช เช่น ไฮโดรเจน ออกซิเจน
